เมื่อกล่าวถึงเกษตรกรไทย ผู้อ่านหลายท่านคงนึกภาพเกษตกรไทย โดยเฉพาะชาวนาไทยที่จน ลำบาก แต่อนาคตเกษตรกรไทยจะคล้ายๆ กับเกษตรกรต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว ผู้อ่านคงสงสัยหรือตั้งคำถามว่าจะเป็นไปได้อย่างไร บางท่านตอบกลับทีเล่นทีจริงว่า ก็เกษตรกรจนๆ ตายหมด หรือแต่เกษตรกรรวยๆ ที่ยังคงอยู่ในอาชีพเกษตร นั่นคือ เกษตรกรไทยในอนาคตจะอยู่ดีกินดี ฝันไปรึเปล่าหลายท่านคงสงสัย
ผู้อ่านลองนึกเล่นๆนะคะ ในอดีตครัวเรือนเกษตรกรเป็นครัวเรือนขนาดใหญ่ มีที่ดินถือครองทำการเกษตรมาก เมื่อกาลเวลาผ่านไป ลูกหลานได้รับมรดกตกทอดจากปู่ยาตายาย ที่ดินผืนใหญ่ถูกซอยลงเป็นแปลงเล็กลงเรื่อยๆ ที่ดินถือครองทางการเกษตรต่อครัวเรือนเล็กลง การทำเกษตรที่เน้นการผลิตเป็นพืชเชิงเดี่ยว มีรายได้ทางเดี่ยวจากการขายพืชหลักนั้นๆ ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นตามการพึ่งพิงปัจจัยการผลิตนำเข้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ปุ๋ยเคมี (หากท่านลองสังเกตทิศทางการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันและปุ๋ย จะพบว่ามีทิศทางเดียวกัน นั่นเป็นเพราะปุ๋ยเป็นผลพลอยได้ของน้ำมัน) หากเกษตรกรยังคงทำการเกษตรโดยพึ่งปัจจัยภายนอก ไม่หาวิธีการจัดการต้นทุนได้ ก็คงไม่พ้นทำการเกษตรแล้วเป็นหนี้ สุดท้ายก็ต้องออกจากภาคเกษตร ขายที่ดินทำกิน แล้วเช่าที่ตัวเองทำเกษตร แบ่งผลกำไรให้กับเจ้าของที่รายใหม่ เราเรียกว่า นายทุน เมื่อนายทุนลงทุนซื้อที่ดินทำการเกษตร อาจจะให้เกษตรกรเช่าที่ทำกินต่อ หรือ ลงทุนเงินแล้ว เกษตกรลงทุนแรงงาน กลายเป็นลูกจ้างภาคเกษตร แบ่งผลกำไรกันตามแต่ตกลง นายทุเริ่มมีการเรียนรู้การทำเกษตร ไม่ได้ทำเอง แต่จัดการเป็น มองเห็นผลได้ของอาชีพเกษตรเป็นอาชีพที่มีความมั่นคง ไม่มีวันตาย นายทุนจะผันตัวเป็นผู้จัดการฟาร์ม มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อลดปัญหาด้านแรงงาน ทรัพยากรที่ดินที่มีอยู่ในมือ เอื้อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด ต้นทุนการผลิตต่ำ ขีดความสามารถการแข่งขันในภาคเกษตรย่อมมากกว่าเกษตรรายย่อย ทางรอดของเกษตรกรรายเล็กหากไม่ดำเนินตามพระราชดำรัสของในหลวงด้วยการทำเกษตรผสมผสาน ตามปรัชญาความพอเพียงของพระองค์ท่าน และยังต้องรวมตัวเป็นกลุ่มเกษตรกรด้วยกัน หรือสหกรณ์ ก็เป็นทางออกหรือทางรอดของเกษตกรรายย่อย แต่การรวมตัวกันของคนไทยไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตสาธารณะ คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน มีความยับยั้งชั่งใจ เพราะการรวมตัวย่อมมีเงินและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสอนให้มนุษย์เห็นแก่ตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์ในประเทศไทยจึงก้าวหน้าช้าอย่างมากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ
อาชีพเกษตรอย่างไรก็สำคัญ เรายังต้องกิน ต้องใช้ ผลผลิตจากภาคเกษตรตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น เกษตรกรในปัจจุบันคงต้องหันมาเปลี่ยนวิธีทำเกษตรอย่างนักพัฒนา ศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ร่วมมือกับเกษตรกรด้วยกัน อย่าแข่งขันกัน ยึดคติ "ยิ่งให้ยิ่งได้" เมื่อนั้นชัยชนะจะเป็นของเกษตรกรไทย
วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554
น้ำมันจ๋า เงินเฟ้อมาแล้วจ๊ะ
ราคาน้ำมันทะลุ 100 เหรียญแล้วจ้าาา ความไม่มั่นคงทางการเมืองของประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เช่น ประเทศลิเบีย ซึ่งในปี ก็เกิดเหตุการเช่นนี้มาแล้ว แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้นนั้น คงปฏิเสธไม่ว่าจะเกิดจากการเก็งกำไร เมื่อใดที่ราคาน้ำมันแพงขึ้น มักจะมีปัญหาเงินเฟ้อตามมา จะทำอย่างไรได้ ก็ทุกวันนี้ความไม่แน่นอนมีมากเหลือเกิน อะไรที่เป็นสินค้าที่มีความจำเป็นในการผลิต ก็ต้องมีการกันความเสี่ยงไว้ก่อน และจะกันความเสี่ยงที่ไหนได้ ถ้าไม่ใช่ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ต่างประเทศพัฒนาตลาดนี้ไปมากแล้ว แต่ประเทศไทยทำไมยัง... เฮ้อ ทำใจละกัน บ่นมากไปแล้ว ผู้เขียนขอเข้าประเทศที่อยากเขียนซะหน่อย เอาแบบวิชาการง่ายๆ จะได้เข้าในที่มาที่ไปนะคะ
สาเหตุของเงินเฟ้อนั้น ถ้าอธิบายอย่างง่ายๆ เกิดจาก 2 สาเหตุด้วยกันคือ สาเหตุแรกคือ อุปสงค์ฉุด กล่าวคือ เป็นเงินเฟ้อที่เกิดจากความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ที่ประชากรของประเทศ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ความต้องการบริโภคสินค้าและบริการก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เห็นได้จากปริมาณการนำเข้าปัจจัยการผลิตต่างๆ ยอดจำหน่ายสินค้าแบรนเนมทั้งหลายที่มีอัตราการขยายตัวสูงมาก เมื่อปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ผู้ผลิตก็จำเป็นต้องหาปัจจัยการผลิตหรือวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น แน่นอนค่ะ หากของหาไม่ได้ ราคาก็ย่อมแพง มีเจ้าของธุรกิจรายหนึ่งเคยกล่าวว่า เขาไม่เชื่อว่าไม่มีของ ของมี แต่คุณยอมที่จะจ่ายเงินซื้อของในราคาที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ แน่นอนค่ะ ถ้าคุณยังต้องการขายของต่อไป คุณก็ต้องซื้อวัตถุดิบอันแสนแพงนี้ และแล้วเมื่อต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ราคาขายของสินค้าก็ต้องเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน เมื่อราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น สูงขึ้น และสูงขึ้น จึงกลายเป็นเหตุการที่เรียกว่าเงินเฟ้อ สาเหตุที่สองคือ ต้นทุนผลัก หมายถึง ปัจจัยการผลิตที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจ เช่น น้ำมัน ไฟฟ้า น้ำ มีราคาสุูงขึ้น อ๋อกันแล้วใช่หรือไม่ท่านผู้อ่าน ก็ในเมื่อต้นทุนการผลิตสูงกันถ้วนหน้าแบบนี้ จะเหลือหรือค่ะ ราคาสินค้าก็ต้องปรับสูงขึ้นไปตามคุณนายระเบียบค่ะ รัฐบาลทั่วโลอกชอบเงินเฟ้อค่ะ แต่แบบเฟ้ออ่อนๆ เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโต อันนี้รัฐบาลบอกค่ะ หากแต่เฟ้อไม่หยุดฉุดไม่อยู่ จะเป็นอย่างไรค่ะ ก็ฟองสบู่ที่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายกลัวกันนั่นเองค่ะ แต่ตามทฤษฎีแล้วไม่เฟ้อดีกว่านะคะ เพราะเศรษฐกิจอยู่ในภาวะสมดุล จะเชื่อใครดีอันนี้ท่านผู้อ่านเลือกข้างเองนะคะ
ปัญหาเงินเฟ้อกับราคาน้ำมันมักเป็นของคู่กัน เป็นปัญหาเดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นในทุกประเทศ เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากน้ำมันเป็นปัจจัยการผลิตที่เกี่ยวข้องกับทุกสิ่ง คงจะไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่า ไม่ใช้น้ำมันในชีวิตประจำวัน เพราะทุกคนใช้น้ำมันไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลมักจะทำคือ การตรึงราคาน้ำมัน เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดการเพิ่มราคาสินค้าและบริการที่มีการควบคุมราคา เนื่องจากเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ สิ่งที่เราสังเกตได้ก็คือ ราคาน้ำมันมีขึ้นก็มีลงเป็นไปตามหลักอุปสงค์และอุปทาน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นราคาน้ำมันถูกเหมือนในอดีตอีกแล้วก็ตาม แต่ราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตหรือปัจจัย 4 เมื่อปรับตัวขึ้นแล้ว น้อยชนิดมากที่จะปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันที่ลดลง ปัญหาคือ รัฐบาลจะมีวิธีการอย่างไรในการตรึงราคาน้ำมันให้โปร่งใส ที่สำคัญเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นตอนนี้ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากน้ำมันอย่างเดียว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ผลผลิตภาคการเกษตรมีความแปรปรวนอย่างมาก เงินเฟ้อครั้งนี้เท่ากับต้นทุนผลักสองเด้งเลยค่ะ
หากคิดในแง่ดี สินค้าเกษตรมีราคาแพง เกษตรกรกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศมีรายได้ที่มากขึ้น? ผู้บริโภคก็ต้องทำตัวเป็นคนรายได้ต่ำรสนิยิมสูงต่อไปค่ะ (ไม่ได้ใช้ของแบรนเนมนะคะ) แหม ก็ขนาดไข่ดาวฟองละ 10 บาท จะไม่ให้รสนิยมสูงได้ยังไงละค่ะ
สาเหตุของเงินเฟ้อนั้น ถ้าอธิบายอย่างง่ายๆ เกิดจาก 2 สาเหตุด้วยกันคือ สาเหตุแรกคือ อุปสงค์ฉุด กล่าวคือ เป็นเงินเฟ้อที่เกิดจากความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ที่ประชากรของประเทศ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ความต้องการบริโภคสินค้าและบริการก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เห็นได้จากปริมาณการนำเข้าปัจจัยการผลิตต่างๆ ยอดจำหน่ายสินค้าแบรนเนมทั้งหลายที่มีอัตราการขยายตัวสูงมาก เมื่อปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ผู้ผลิตก็จำเป็นต้องหาปัจจัยการผลิตหรือวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น แน่นอนค่ะ หากของหาไม่ได้ ราคาก็ย่อมแพง มีเจ้าของธุรกิจรายหนึ่งเคยกล่าวว่า เขาไม่เชื่อว่าไม่มีของ ของมี แต่คุณยอมที่จะจ่ายเงินซื้อของในราคาที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ แน่นอนค่ะ ถ้าคุณยังต้องการขายของต่อไป คุณก็ต้องซื้อวัตถุดิบอันแสนแพงนี้ และแล้วเมื่อต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ราคาขายของสินค้าก็ต้องเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน เมื่อราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น สูงขึ้น และสูงขึ้น จึงกลายเป็นเหตุการที่เรียกว่าเงินเฟ้อ สาเหตุที่สองคือ ต้นทุนผลัก หมายถึง ปัจจัยการผลิตที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจ เช่น น้ำมัน ไฟฟ้า น้ำ มีราคาสุูงขึ้น อ๋อกันแล้วใช่หรือไม่ท่านผู้อ่าน ก็ในเมื่อต้นทุนการผลิตสูงกันถ้วนหน้าแบบนี้ จะเหลือหรือค่ะ ราคาสินค้าก็ต้องปรับสูงขึ้นไปตามคุณนายระเบียบค่ะ รัฐบาลทั่วโลอกชอบเงินเฟ้อค่ะ แต่แบบเฟ้ออ่อนๆ เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโต อันนี้รัฐบาลบอกค่ะ หากแต่เฟ้อไม่หยุดฉุดไม่อยู่ จะเป็นอย่างไรค่ะ ก็ฟองสบู่ที่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายกลัวกันนั่นเองค่ะ แต่ตามทฤษฎีแล้วไม่เฟ้อดีกว่านะคะ เพราะเศรษฐกิจอยู่ในภาวะสมดุล จะเชื่อใครดีอันนี้ท่านผู้อ่านเลือกข้างเองนะคะ
ปัญหาเงินเฟ้อกับราคาน้ำมันมักเป็นของคู่กัน เป็นปัญหาเดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นในทุกประเทศ เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากน้ำมันเป็นปัจจัยการผลิตที่เกี่ยวข้องกับทุกสิ่ง คงจะไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่า ไม่ใช้น้ำมันในชีวิตประจำวัน เพราะทุกคนใช้น้ำมันไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลมักจะทำคือ การตรึงราคาน้ำมัน เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดการเพิ่มราคาสินค้าและบริการที่มีการควบคุมราคา เนื่องจากเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ สิ่งที่เราสังเกตได้ก็คือ ราคาน้ำมันมีขึ้นก็มีลงเป็นไปตามหลักอุปสงค์และอุปทาน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นราคาน้ำมันถูกเหมือนในอดีตอีกแล้วก็ตาม แต่ราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตหรือปัจจัย 4 เมื่อปรับตัวขึ้นแล้ว น้อยชนิดมากที่จะปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันที่ลดลง ปัญหาคือ รัฐบาลจะมีวิธีการอย่างไรในการตรึงราคาน้ำมันให้โปร่งใส ที่สำคัญเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นตอนนี้ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากน้ำมันอย่างเดียว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ผลผลิตภาคการเกษตรมีความแปรปรวนอย่างมาก เงินเฟ้อครั้งนี้เท่ากับต้นทุนผลักสองเด้งเลยค่ะ
หากคิดในแง่ดี สินค้าเกษตรมีราคาแพง เกษตรกรกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศมีรายได้ที่มากขึ้น? ผู้บริโภคก็ต้องทำตัวเป็นคนรายได้ต่ำรสนิยิมสูงต่อไปค่ะ (ไม่ได้ใช้ของแบรนเนมนะคะ) แหม ก็ขนาดไข่ดาวฟองละ 10 บาท จะไม่ให้รสนิยมสูงได้ยังไงละค่ะ
วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554
เศรษฐมิติประยุกต์สำหรับการตลาดเกษตร
อ.อารี วิบูลย์พงศ์ ได้เรียบเรียงหนังสือการประยุกต์เศรษฐมิติกับการตลาดเกษตร ไว้ให้ผู้สนใจตามลิ้งค์ด้านนี้จ้าาา
http://web.agri.cmu.ac.th/aec/AEC_Home/web_econometric/link_econ.htm
ปล. ถ้านำไปใช้ประโยชน์ อย่าลืมอ้างอิงนะคะ เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะ
http://web.agri.cmu.ac.th/aec/AEC_Home/web_econometric/link_econ.htm
ปล. ถ้านำไปใช้ประโยชน์ อย่าลืมอ้างอิงนะคะ เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะ
วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554
บทสัมภาษณ์ของคุณแพท ภาววิทย์ กลิ่นประทุม idol ของนักลงทุนรุ่นใหม่
คุณภาววิทย์ ให้สัมภาษณ์กับกรุงเทพธุรกิจ เกี่ยวกับการลงทุนไสตล์ VI แบบย่อๆ
เข้าใจง่าย แถมหุ้นบลูชิพด้วยนะคะ อ่านได้ตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ
http://bit.ly/gu08Jb
เข้าใจง่าย แถมหุ้นบลูชิพด้วยนะคะ อ่านได้ตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ
http://bit.ly/gu08Jb
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวิชาเศรษฐศาสตร์
Microeconomics
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวิชาเศรษฐศาสตร์
การดำเนินชีวิตของมนุษย์ต้องตัดสินใจเลือกสิ่งหนึ่งและเสียโอกาสจากการตัดสินใจที่จะไม่เลือกอีกสิ่งหนึ่งอยู่เสมอ เนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถเลือกทั้งหมดได้เนื่องจากข้อจัดต่างๆ เช่น เวลา เงิน หรือแม้กระทั่งความรู้สึก วิชาเศรษฐศาสตร์จึงเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของมนุษย์อยู่เสมอ อาจกล่าวได้ว่ามูลเหตุที่ก่อให้เกิดวิชาเศรษฐศาสตร์มี 2 ประการคือ ความต้องการทางด้านวัตถุของมนุษย์ไม่มีจำกัด และทรัพยากรในเชิงเศรษฐกิจมีอยู่อย่างจำกัด การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์จึงเป็นการหาแนวทางตัดสินใจเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทางเลือกที่มีอยู่ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ตรงกับคำกล่าวที่ว่า วิชาเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยวิธีการเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์และของสังคมที่มีอย่างไม่จำกัด
กล่าวได้ว่า วิชาเศรษฐศาสตร์จะเกี่ยวข้องกับคำ 3 คำอยู่เสมอ คือ ความขาดแคลน (Scarcity) ทางเลือก (Choice) และค่าเสียโอกาส (Opportunity cost)
ความขาดแคลน (Scarcity): ทรัพยากรมีจำนวนจำกัด และมีไม่เพียงพอกับความต้องการของมนุษย์ ในลักษณะเดียวกันโภคภัณฑ์ต่างๆที่มนุษย์ผลิตได้ ได้แก่ สินค้าและบริการมีจำนวนไม่เพียงพอกับความต้องการของมนุษย์
ทางเลือก (Choice): เนื่องจากปัญหาความขาดแคลนของทรัพยากร และโภคภัณฑ์ต่างๆ ทุกสังคมจึงเผชิญกับการกำหนดทางเลือก กล่าวคือ จะเลือกผลิตโภคภัณฑ์ชนิดใด การผลิตโภคภัณฑ์แต่ละชนิดจะใช้ปัจจัยอะไร มากน้อยเพียงใด
ค่าเสียโอกาส (Opportunity cost): ในขณะที่ทรัพยากรมีจำกัด การตัดสินใจใช้ทรัพยากรทั้งหมดหรือบางส่วนไปเพื่อการผลิตสินค้าชนิดหนึ่ง ย่อมทำให้เสียโอกาสในการผลิตสินค้าอย่างอื่น หรืออาจผลิตสินค้าอย่างอื่นได้น้อยลง
ปัจจัยการผลิต ( Factors of Production)
ปัจจัยการผลิต หมายถึง ทรัพยากรที่ใช้เพื่อการผลิตเป็นสินค้าและบริการ ในความหมายทางเศรษฐศาสตร์แบ่งปัจจัยการผลิตเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. ที่ดิน (Land) ซึ่งใช้เป็นที่ของอาคารโรงงานที่ทำการผลิต รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิดที่ติดอยู่กับที่ดินซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการผลิตสินค้าและบริการได้ เช่น แร่ธาตุ น้ำ ป่าไม้ เป็นต้น ผลตอบแทนของที่ดินได้แก่ ค่าเช่า (Rent)
2. แรงงาน (Labour) หมายถึง ทรัพยากรมนุษย์ที่ใช้ความสามารถทั้งกำลังกายและสติปัญญาผลิตสินค้าและบริการ แรงงานแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ แรงงานที่มีทักษา (Skilled labor) และแรงงานที่ไม่มีทักษะ (Unskilled labor) ผลตอบแทนของแรงงานคือ ค่าจ้าง (Wage or Salary)
3. ทุน (Capital) หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น อาคาร เครื่องจักรเครื่องมือ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต นอกจากนี้ทุนยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- เงินทุน (Money Capital) หมายถึง ปริมาณเงินตราที่เจ้าของเงินนำไปซื้อวัตถุดิบ จ่าย
ค่าจ้าง ค่าเช่า และดอกเบี้ย
- สินค้าประเภททุน (Capital Goods) หมายถึง สิ่งก่อสร้าง รวมถึงเครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้
ในการผลิตเป็นต้น ผลตอบแทนจากเงินทุน คือ ดอกเบี้ย (Interest)
4. ผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) หมายถึง บุคคลที่นำปัจจัยการผลิตทั้งที่ดิน ทุน และแรงงาน มาดำเนินการผลิตสินค้าและบริการให้เกิดประสิทธิภาพที่สุด ด้วยหลักการบริหารที่ดี การตัดสินใจจากข้อมูลหรือจากเกณฑ์มาตรฐานอย่างรอบคอบ รวมถึงความรับผิดชอบ ผลตอบแทน คือ กำไร (Profit)
ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (Basic Economic Problems)
เนื่องจากทรัพยากรมีอยู่จำกัดแต่ความต้องการของมนุษย์มีอยู่อย่างไม่จำกัด ดังนั้นทุกสังคมจึงต้องประสบปัญหาอย่างเดียวกัน คือ ผลิตอะไร ผลิตอย่างไร และเพื่อใคร โดยใช้ปัจจัยการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
1. ปัญหาผลิตอะไร (What) เนื่องจากความต้องการมีมากกว่าทรัพยากร จึงต้องตัดสินว่าภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่ควรจะผลิตอะไร จำนวนเท่าไร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด
2. ปัญหาผลิตอย่างไร (How) เป็นการจัดสรรทรัพยากรทั้งที่ดิน ทุน แรงงาน และผู้ประกอบการ ที่มีอยู่ผลิตสินค้าและบริการที่ได้ตัดสินใจผลิตตามปัญหาข้อที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
3. ปัญหาผลิตเพื่อใคร (For whom) เป็นการจัดสรรสินค้าและบริการที่เราผลิตได้ให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มใด
ลักษณะของวิชาเศรษฐศาสตร์
1. เศรษฐศาสตร์เชิงทฤษฎี (Positive economic) เป็นการกล่าวถึงสภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่หรือเป็นมาแล้ว เกิดขึ้นมาแล้ว หรือสิ่งที่เกิดขึ้นและจะเป็นตลอดไป เป็นข้อความ หรือคำอธิบาย หรือทฤษฎีที่สามารถทดสอบ สนับสนุนได้ด้วยหลักฐานที่ประจักษ์ได้
2. เศรษฐศาสตร์เชิงนโยบาย (Normative economic) ว่าด้วยค่านิยมในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสังคม กล่าวถึงสิ่งที่ควรจะเกิด ควรจะเป็น หรือไม่ควรจะเกิด ไม่ควรจะเป็น หรือเกี่ยวข้องกับทางเลือกตามค่านิยมของคนและสังคม
ข้อแตกต่างที่สำคัญ อยู่ที่ Positive กล่าวถึงสภาพความเป็นจริง ซึ่งทดสอบหรือสนับสนุนได้ด้วยหลักฐานที่ประจักษ์ตามทฤษฎี ส่วนNormative อิงอยู่กับค่านิยมของสังคม ซึ่งยากแก่การทดสอบ
แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์
วิธีการสร้างแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์
แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์เป็นการจำลองสภาพพฤติกรรม โดยเลือกส่วนที่มีความสำคัญของเรื่องที่กำลังศึกษา ซึ่งวิธีการสร้างแบบจำลองมี 2 วิธี คือ
1. วิธีอนุมาน (deductive method) เป็นวิธีการศึกษาค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ โดยวิธีการนำเอาหลักการกว้างๆ ที่มีอยู่แล้วมาอธิบาย วิเคราะห์เพื่อหาความรู้ ความเข้าใจเรื่องนั้นๆ
ส่วนใหญ่ สรุป ส่วนย่อย
( หลักการทั่วไป สรุป ส่วนเฉพาะเรื่อง )
2. วิธีการอุปมาน (inductive method) เป็นวิธีการศึกษาหาความรู้ หาทฤษฎีโดยอาศัยความจริงจากส่วนย่อย หรือความจริงเฉพาะเรื่องเพื่อนำไปอธิบายส่วนใหญ่ และสรุปเป็นหลักการและทฤษฎีต่อไป
ส่วนย่อย สรุป ส่วนใหญ่
( เรื่องเฉพาะ สรุป เรื่องทั่วไป )
การสร้างแบบจำลองเศรษฐศาสตร์จุลภาคโดยวิธีอนุมานหรือวิธีอุปมาน ต้องใช้วิธีอุปมานเข้าช่วย กล่าวคือ ใช้วิธีอุปมานเลือกข้อสมมติให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และช่วยทดสอบข้อสรุปให้มีความสัมพันธ์กับทฤษฎี ขณะเดียวกัน การสร้างแบบจำลองด้วยวิธีอุปมาน จำเป็นต้องใช้วิธีอนุมานเพื่อช่วยสร้างแผนงานวิจัยให้ถูกต้องและเป็นจริง
ตัวแปรทางเศรษฐศาสตร์
ตัวแปรทางเศรษฐศาสตร์ (Economics Variable) หมายถึง ปัจจัยที่ปรากฏเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราศึกษา แบ่งออกเป็น ตัวแปรต้น หรือตัวแปรอิสระ (Independent Variable) (คือ ตัวแปรที่มีผลให้อีกตัวแปรหนึ่งเปลี่ยนแปลง) และตัวแปรตาม (Dependent Variable) (คือ ตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงตามการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรต้น ตัวอย่างตัวแปรในทางเศรษฐศาสตร์ เช่น ราคา รายได้ กำไร ต้นทุน การบริโภค การลงทุน สินค้านำเข้า สินค้าส่งออก เป็นต้น
ข้อสมมติทางเศรษฐศาสตร์
ข้อสมมติ (Assumptions) หมายถึง เงื่อนไข หรือสภาวะการณ์ ที่กำหนดขึ้น เช่น ถ้าทุกสิ่งเป็นปกติ, ปัจจัยอย่างอื่นคงที่ เนื่องจากสภาพความเป็นจริงมีหลายปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงจำเป็นต้องมีข้อสมมติช่วยกำหนดแบบจำลองแคบลงแต่ก็ไม่ควรมากเกินไปจนทฤษฎีที่สรุปได้ไม่สามารถอธิบายความเป็นจริงได้ ข้อสมมติที่มักพบในแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ เช่น กำหนดให้ปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ได้พิจารณาคงที่ หรือมนุษย์ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล (Rationality) ซึ่งข้อสมมติดังกล่าว จะช่วยระบุพฤติกรรมของมนุษย์อย่างเป็นเหตุเป็นผลกัน สามารถวัดออกมาเที่ยงตรง ประการที่สำคัญคือ สามารถใช้เทคนิคทางคณิตศาสตร์แก้ปัญหาจุดสูงสุดและต่ำสุดได้
ข้อสมมติฐาน
ข้อสมมติฐาน (Hypotheses) หรือข้อสันนิษฐาน เป็นการคาดคะเนผลการศึกษา โดยอธิบายตัวแปร และความสัมพันธ์ของตัวแปร แล้วทดสอบผลการศึกษาว่าจริงหรือไม่จริง เมื่อทำการทดสอบแล้วพบว่าเป็นจริง เมื่อมีการทดสอบซ้ำๆ ก็จะได้รับการยอมรับ หรือ อาจเป็นทฤษฎี
เศรษฐศาสตร์จุลภาค และ เศรษฐศาสตร์มหภาค
ในอดีตการศึกษาเศรษฐศาสตร์มิได้แบ่งแยกว่าเป็นเศรษฐศาสตร์จุลภาค หรือเศรษฐศาสตร์มหภาคจนกระทั่งปี 1930 ได้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ได้มีการแบ่งออกเป็น 2 แขนงวิชา เพื่อให้การศึกษาเศรษฐศาสตร์มีขอบเขตการศึกษาที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เศรษฐศาสตร์จุลภาค อธิบายถึงกลไกที่ทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรแต่ละอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การบริโภค ของแต่ละโภคภัณฑ์ และการแจกจ่ายของแต่ละคน แต่ละกิจการ แต่ละอุตสาหกรรม และแต่ละตลาด ซึ่งการศึกษาเศรษฐศาสตร์จุลภาคจะเป็นการศึกษาการตัดสินใจของผู้บริโภค ผู้ผลิต และเจ้าของปัจจัยการผลิตต่างๆ
เศรษฐศาสตร์มหภาค เป็นการวิเคราะห์ลักษณะและความสัมพันธ์ของระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ เช่น อธิบายถึงรายได้ของประเทศ ตัวกำหนดรายได้ และความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆที่กำหนดรายได้ ภาวะเงินเฟ้อและปัจจัยที่เกี่ยวข้องการผลิต การจ้างงาน รายได้ การบริโภค ราคา การลงทุน โดยรวมของประเทศ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)