Microeconomics
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวิชาเศรษฐศาสตร์
การดำเนินชีวิตของมนุษย์ต้องตัดสินใจเลือกสิ่งหนึ่งและเสียโอกาสจากการตัดสินใจที่จะไม่เลือกอีกสิ่งหนึ่งอยู่เสมอ เนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถเลือกทั้งหมดได้เนื่องจากข้อจัดต่างๆ เช่น เวลา เงิน หรือแม้กระทั่งความรู้สึก วิชาเศรษฐศาสตร์จึงเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของมนุษย์อยู่เสมอ อาจกล่าวได้ว่ามูลเหตุที่ก่อให้เกิดวิชาเศรษฐศาสตร์มี 2 ประการคือ ความต้องการทางด้านวัตถุของมนุษย์ไม่มีจำกัด และทรัพยากรในเชิงเศรษฐกิจมีอยู่อย่างจำกัด การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์จึงเป็นการหาแนวทางตัดสินใจเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทางเลือกที่มีอยู่ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ตรงกับคำกล่าวที่ว่า วิชาเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยวิธีการเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์และของสังคมที่มีอย่างไม่จำกัด
กล่าวได้ว่า วิชาเศรษฐศาสตร์จะเกี่ยวข้องกับคำ 3 คำอยู่เสมอ คือ ความขาดแคลน (Scarcity) ทางเลือก (Choice) และค่าเสียโอกาส (Opportunity cost)
ความขาดแคลน (Scarcity): ทรัพยากรมีจำนวนจำกัด และมีไม่เพียงพอกับความต้องการของมนุษย์ ในลักษณะเดียวกันโภคภัณฑ์ต่างๆที่มนุษย์ผลิตได้ ได้แก่ สินค้าและบริการมีจำนวนไม่เพียงพอกับความต้องการของมนุษย์
ทางเลือก (Choice): เนื่องจากปัญหาความขาดแคลนของทรัพยากร และโภคภัณฑ์ต่างๆ ทุกสังคมจึงเผชิญกับการกำหนดทางเลือก กล่าวคือ จะเลือกผลิตโภคภัณฑ์ชนิดใด การผลิตโภคภัณฑ์แต่ละชนิดจะใช้ปัจจัยอะไร มากน้อยเพียงใด
ค่าเสียโอกาส (Opportunity cost): ในขณะที่ทรัพยากรมีจำกัด การตัดสินใจใช้ทรัพยากรทั้งหมดหรือบางส่วนไปเพื่อการผลิตสินค้าชนิดหนึ่ง ย่อมทำให้เสียโอกาสในการผลิตสินค้าอย่างอื่น หรืออาจผลิตสินค้าอย่างอื่นได้น้อยลง
ปัจจัยการผลิต ( Factors of Production)
ปัจจัยการผลิต หมายถึง ทรัพยากรที่ใช้เพื่อการผลิตเป็นสินค้าและบริการ ในความหมายทางเศรษฐศาสตร์แบ่งปัจจัยการผลิตเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. ที่ดิน (Land) ซึ่งใช้เป็นที่ของอาคารโรงงานที่ทำการผลิต รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิดที่ติดอยู่กับที่ดินซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการผลิตสินค้าและบริการได้ เช่น แร่ธาตุ น้ำ ป่าไม้ เป็นต้น ผลตอบแทนของที่ดินได้แก่ ค่าเช่า (Rent)
2. แรงงาน (Labour) หมายถึง ทรัพยากรมนุษย์ที่ใช้ความสามารถทั้งกำลังกายและสติปัญญาผลิตสินค้าและบริการ แรงงานแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ แรงงานที่มีทักษา (Skilled labor) และแรงงานที่ไม่มีทักษะ (Unskilled labor) ผลตอบแทนของแรงงานคือ ค่าจ้าง (Wage or Salary)
3. ทุน (Capital) หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น อาคาร เครื่องจักรเครื่องมือ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต นอกจากนี้ทุนยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- เงินทุน (Money Capital) หมายถึง ปริมาณเงินตราที่เจ้าของเงินนำไปซื้อวัตถุดิบ จ่าย
ค่าจ้าง ค่าเช่า และดอกเบี้ย
- สินค้าประเภททุน (Capital Goods) หมายถึง สิ่งก่อสร้าง รวมถึงเครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้
ในการผลิตเป็นต้น ผลตอบแทนจากเงินทุน คือ ดอกเบี้ย (Interest)
4. ผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) หมายถึง บุคคลที่นำปัจจัยการผลิตทั้งที่ดิน ทุน และแรงงาน มาดำเนินการผลิตสินค้าและบริการให้เกิดประสิทธิภาพที่สุด ด้วยหลักการบริหารที่ดี การตัดสินใจจากข้อมูลหรือจากเกณฑ์มาตรฐานอย่างรอบคอบ รวมถึงความรับผิดชอบ ผลตอบแทน คือ กำไร (Profit)
ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (Basic Economic Problems)
เนื่องจากทรัพยากรมีอยู่จำกัดแต่ความต้องการของมนุษย์มีอยู่อย่างไม่จำกัด ดังนั้นทุกสังคมจึงต้องประสบปัญหาอย่างเดียวกัน คือ ผลิตอะไร ผลิตอย่างไร และเพื่อใคร โดยใช้ปัจจัยการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
1. ปัญหาผลิตอะไร (What) เนื่องจากความต้องการมีมากกว่าทรัพยากร จึงต้องตัดสินว่าภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่ควรจะผลิตอะไร จำนวนเท่าไร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด
2. ปัญหาผลิตอย่างไร (How) เป็นการจัดสรรทรัพยากรทั้งที่ดิน ทุน แรงงาน และผู้ประกอบการ ที่มีอยู่ผลิตสินค้าและบริการที่ได้ตัดสินใจผลิตตามปัญหาข้อที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
3. ปัญหาผลิตเพื่อใคร (For whom) เป็นการจัดสรรสินค้าและบริการที่เราผลิตได้ให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มใด
ลักษณะของวิชาเศรษฐศาสตร์
1. เศรษฐศาสตร์เชิงทฤษฎี (Positive economic) เป็นการกล่าวถึงสภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่หรือเป็นมาแล้ว เกิดขึ้นมาแล้ว หรือสิ่งที่เกิดขึ้นและจะเป็นตลอดไป เป็นข้อความ หรือคำอธิบาย หรือทฤษฎีที่สามารถทดสอบ สนับสนุนได้ด้วยหลักฐานที่ประจักษ์ได้
2. เศรษฐศาสตร์เชิงนโยบาย (Normative economic) ว่าด้วยค่านิยมในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสังคม กล่าวถึงสิ่งที่ควรจะเกิด ควรจะเป็น หรือไม่ควรจะเกิด ไม่ควรจะเป็น หรือเกี่ยวข้องกับทางเลือกตามค่านิยมของคนและสังคม
ข้อแตกต่างที่สำคัญ อยู่ที่ Positive กล่าวถึงสภาพความเป็นจริง ซึ่งทดสอบหรือสนับสนุนได้ด้วยหลักฐานที่ประจักษ์ตามทฤษฎี ส่วนNormative อิงอยู่กับค่านิยมของสังคม ซึ่งยากแก่การทดสอบ
แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์
วิธีการสร้างแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์
แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์เป็นการจำลองสภาพพฤติกรรม โดยเลือกส่วนที่มีความสำคัญของเรื่องที่กำลังศึกษา ซึ่งวิธีการสร้างแบบจำลองมี 2 วิธี คือ
1. วิธีอนุมาน (deductive method) เป็นวิธีการศึกษาค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ โดยวิธีการนำเอาหลักการกว้างๆ ที่มีอยู่แล้วมาอธิบาย วิเคราะห์เพื่อหาความรู้ ความเข้าใจเรื่องนั้นๆ
ส่วนใหญ่ สรุป ส่วนย่อย
( หลักการทั่วไป สรุป ส่วนเฉพาะเรื่อง )
2. วิธีการอุปมาน (inductive method) เป็นวิธีการศึกษาหาความรู้ หาทฤษฎีโดยอาศัยความจริงจากส่วนย่อย หรือความจริงเฉพาะเรื่องเพื่อนำไปอธิบายส่วนใหญ่ และสรุปเป็นหลักการและทฤษฎีต่อไป
ส่วนย่อย สรุป ส่วนใหญ่
( เรื่องเฉพาะ สรุป เรื่องทั่วไป )
การสร้างแบบจำลองเศรษฐศาสตร์จุลภาคโดยวิธีอนุมานหรือวิธีอุปมาน ต้องใช้วิธีอุปมานเข้าช่วย กล่าวคือ ใช้วิธีอุปมานเลือกข้อสมมติให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และช่วยทดสอบข้อสรุปให้มีความสัมพันธ์กับทฤษฎี ขณะเดียวกัน การสร้างแบบจำลองด้วยวิธีอุปมาน จำเป็นต้องใช้วิธีอนุมานเพื่อช่วยสร้างแผนงานวิจัยให้ถูกต้องและเป็นจริง
ตัวแปรทางเศรษฐศาสตร์
ตัวแปรทางเศรษฐศาสตร์ (Economics Variable) หมายถึง ปัจจัยที่ปรากฏเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราศึกษา แบ่งออกเป็น ตัวแปรต้น หรือตัวแปรอิสระ (Independent Variable) (คือ ตัวแปรที่มีผลให้อีกตัวแปรหนึ่งเปลี่ยนแปลง) และตัวแปรตาม (Dependent Variable) (คือ ตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงตามการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรต้น ตัวอย่างตัวแปรในทางเศรษฐศาสตร์ เช่น ราคา รายได้ กำไร ต้นทุน การบริโภค การลงทุน สินค้านำเข้า สินค้าส่งออก เป็นต้น
ข้อสมมติทางเศรษฐศาสตร์
ข้อสมมติ (Assumptions) หมายถึง เงื่อนไข หรือสภาวะการณ์ ที่กำหนดขึ้น เช่น ถ้าทุกสิ่งเป็นปกติ, ปัจจัยอย่างอื่นคงที่ เนื่องจากสภาพความเป็นจริงมีหลายปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงจำเป็นต้องมีข้อสมมติช่วยกำหนดแบบจำลองแคบลงแต่ก็ไม่ควรมากเกินไปจนทฤษฎีที่สรุปได้ไม่สามารถอธิบายความเป็นจริงได้ ข้อสมมติที่มักพบในแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ เช่น กำหนดให้ปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ได้พิจารณาคงที่ หรือมนุษย์ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล (Rationality) ซึ่งข้อสมมติดังกล่าว จะช่วยระบุพฤติกรรมของมนุษย์อย่างเป็นเหตุเป็นผลกัน สามารถวัดออกมาเที่ยงตรง ประการที่สำคัญคือ สามารถใช้เทคนิคทางคณิตศาสตร์แก้ปัญหาจุดสูงสุดและต่ำสุดได้
ข้อสมมติฐาน
ข้อสมมติฐาน (Hypotheses) หรือข้อสันนิษฐาน เป็นการคาดคะเนผลการศึกษา โดยอธิบายตัวแปร และความสัมพันธ์ของตัวแปร แล้วทดสอบผลการศึกษาว่าจริงหรือไม่จริง เมื่อทำการทดสอบแล้วพบว่าเป็นจริง เมื่อมีการทดสอบซ้ำๆ ก็จะได้รับการยอมรับ หรือ อาจเป็นทฤษฎี
เศรษฐศาสตร์จุลภาค และ เศรษฐศาสตร์มหภาค
ในอดีตการศึกษาเศรษฐศาสตร์มิได้แบ่งแยกว่าเป็นเศรษฐศาสตร์จุลภาค หรือเศรษฐศาสตร์มหภาคจนกระทั่งปี 1930 ได้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ได้มีการแบ่งออกเป็น 2 แขนงวิชา เพื่อให้การศึกษาเศรษฐศาสตร์มีขอบเขตการศึกษาที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เศรษฐศาสตร์จุลภาค อธิบายถึงกลไกที่ทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรแต่ละอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การบริโภค ของแต่ละโภคภัณฑ์ และการแจกจ่ายของแต่ละคน แต่ละกิจการ แต่ละอุตสาหกรรม และแต่ละตลาด ซึ่งการศึกษาเศรษฐศาสตร์จุลภาคจะเป็นการศึกษาการตัดสินใจของผู้บริโภค ผู้ผลิต และเจ้าของปัจจัยการผลิตต่างๆ
เศรษฐศาสตร์มหภาค เป็นการวิเคราะห์ลักษณะและความสัมพันธ์ของระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ เช่น อธิบายถึงรายได้ของประเทศ ตัวกำหนดรายได้ และความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆที่กำหนดรายได้ ภาวะเงินเฟ้อและปัจจัยที่เกี่ยวข้องการผลิต การจ้างงาน รายได้ การบริโภค ราคา การลงทุน โดยรวมของประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น